NEAR Protocol (NEAR) คืออะไร?

เหรียญ NEAR คืออะไร และ NEAR Protocol ได้รับความนิยมได้อย่างไร?



นักลงทุนเคยสงสัยไหมว่า NEAR คืออะไร? และ NEAR Protocol สามารถใช้ทำอะไรได้บ้าง?

มาไขความสงสัยเหล่านี้ไปพร้อม ๆ กับ Bitkub Academy กันเลยดีกว่า!





NEAR Protocol คืออะไร?



NEAR Protocol คือ ระบบโครงสร้าง หรือเครือข่ายบล็อกเชนที่เอื้อให้นักพัฒนานำไปใช้เขียนแอปพลิเคชันกระจายศูนย์ (Decentralized Applications หรือ dApps) ได้โดยง่าย เสียค่าใช้จ่ายที่ถูกกว่าบล็อกเชนคู่แข่งอย่าง Ethereum และมีการทำงานบนกลไกฉันทามติรูปแบบ Proof-of-Stake (PoS) นอกจากนี้ NEAR Protocol ยังให้ความสำคัญกับการเป็นแพลตฟอร์มที่ผู้ใช้งานทั่วไปสามารถใช้ได้ง่ายอีกด้วย





ผู้ก่อตั้ง NEAR Protocol



NEAR Protocol คือ โครงการที่ถูกริเริ่มโดยสองนักพัฒนา Alex Skidanov และ Illia Polosukhin ที่มีประสบการณ์การทำงานที่บริษัทชั้นนำโลก อย่างเช่น Microsoft, Google และ MemSQL โดยทั้งคู่พบกันในโครงการเร่งนวัตกรรมสตาร์ทอัพชื่อดัง Y Combinator ที่ลงทุนในโครงการเทคโนโลยีรายใหญ่อย่าง Coinbase, Dropbox, และ Airbnb



NEAR Protocol ได้รับความสนใจจากนักพัฒนา และนักลงทุนเป็นอย่างมาก โดยทั้งสองสามารถระดมทุนได้ถึง 500 ล้านบาทตั้งแต่ก่อนเริ่มการพัฒนา และปัจจุบันมีผู้เข้าร่วม NEAR Collective หรือทีมพัฒนา NEAR Protocol กว่า 50 คน





จุดเด่นของ NEAR Protocol

1. ความสามารถในการขยายระบบเพื่อรองรับการทำธุรกรรม และจำนวนผู้ใช้ที่เพิ่มมากยิ่งขึ้น ภายใต้ความเร็วและค่าใช้จ่ายที่เหมาะสม (Scalability) 



หรือพูดอย่างง่าย คือ NEAR Protocol สามารถรับมือกับจำนวนธุรกรรมที่เพิ่มขึ้นทุกวัน ๆ โดยใช้เวลาโดยเฉลี่ยเพียง 2 - 3 วินาทีต่อการทำธุรกรรม  และเสียค่าธรรมเนียมที่น้อยกว่า 0.35 บาท ซึ่งปัญหาดังกล่าวเป็นปัญหาที่บล็อกเชนที่มีผู้ใช้งานเป็นจำนวนมาก เช่น Bitcoin และ Ethereum กำลังเผชิญและพยายามหาทางแก้ไข



2. ความสามารถในการทำงานร่วมกับเครือข่าย Ethereum



Rainbow Bridge คือ เครื่องมือที่ช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถโอนโทเคน ERC-20 (เช่น USDT, UNI, AAVE, และ COMP) ข้ามไปมาระหว่างเครือข่าย Ethereum และ NEAR ได้อย่างสะดวก รวดเร็ว และเสียค่าธรรมเนียมที่ถูก



3. การเป็นมิตรกับผู้ใช้งาน (User-friendliness)



นอกจากความเร็วในการทำธุรกรรมและค่าธรรมเนียมที่ถูกแล้ว หลายฟีเจอร์บน NEAR Protocol ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อให้ผู้ใช้งานโดยทั่วไปสามารถเข้าถึงและใช้งานเทคโนโลยีบล็อกเชนได้โดยง่าย ตัวอย่างฟีเจอร์ที่สำคัญ คือ ชื่อกระเป๋าคริปโตที่สามารถอ่านเป็นคำได้ ซึ่งจะแตกต่างจากกระเป๋าคริปโตทั่วไปที่จะเป็นชุดตัวเลขที่ผ่านการเข้ารหัส (Hash Function) มีความยาวหลายสิบหลัก ทำให้กระเป๋าคริปโตของ NEAR Protocol มีเอกลักษณ์ ผู้ใช้งานสามารถอ่านและจดจำได้โดยง่าย



4. การเป็นมิตรกับนักพัฒนา (Developer-friendliness)



NEAR Collective เห็นถึงความยุ่งยากในการพัฒนาและเผยแพร่แอปพลิเคชันกระจายศูนย์และสัญญาอัจฉริยะ (Smart Contract) เช่น การต้องเรียนรู้ภาษาที่ใช้ในการโค้ดบนบล็อกเชนนั้น ๆ ซึ่งอาจจะกินเวลาหลายวัน หรือการสร้างและทดสอบต้นแบบสัญญาอัจฉริยะที่ซับซ้อนเกินไปสำหรับมือใหม่ในวงการบล็อกเชน NEAR Collective จึงสร้างเครื่องมือที่จะช่วยให้การพัฒนาและเผยแพร่แอปพลิเคชันกระจายศูนย์ และสัญญาอัจฉริยะสามารถทำได้ง่ายขึ้น เช่น



4.1 Online Integrated Development Environment (IDE): 

เครื่องมืออำนวยความสะดวกที่ช่วยให้นักพัฒนาสามารถพัฒนาสัญญาอัจฉริยะได้จาก Web 

Browser



4.2 NEAR Command-Line Tools: คำสั่งพื้นฐานที่ใช้ในการสร้าง ทดสอบ 

และเผยแพร่แอปพลิเคชันได้โดยง่ายจากคอมพิวเตอร์ของนักพัฒนาเอง





เทคโนโลยีที่น่าสนใจ



เทคโนโลยีที่น่าสนใจและเป็นจุดเด่นที่สำคัญที่สุดของ NEAR Protocol คือ รูปแบบการเก็บข้อมูลที่เรียกว่า “Nightshade Sharding” คือการแบ่งข้อมูลออกเป็นหลายส่วน พร้อมส่งแต่ละส่วนไปเก็บยังคอมพิวเตอร์เครื่องต่าง ๆ ที่เป็นสมาชิกของเครือข่ายบล็อกเชน (Node) 



ซึ่งการกระทำดังกล่าวจะช่วยให้ผู้ใช้ทุกคนไม่จำเป็นต้องประมวลผลข้อมูลทั้งระบบ และใช้เพียงส่วนข้อมูลที่ตัวเองรับผิดชอบเท่านั้น ส่งผลให้การประมวลผลสามารถเกิดขึ้นคู่ขนานกันไป การทำธุรกรรมจึงเป็นไปได้อย่างรวดเร็ว และไม่มีปัญหาด้าน Scalability



ข้อมูลที่น่าสนใจเกี่ยวกับโทเคน NEAR



โทเคนที่ใช้ในระบบนิเวศของ NEAR Protocol คือ NEAR โดยใช้สำหรับจ่ายค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรม และการเก็บข้อมูลภายในเครือข่าย นอกจากนี้ผู้ถือโทเคน NEAR ยังสามารถเข้าร่วมในการดูแลและกำหนดทิศทางของเครือข่าย รวมถึงสามารถนำโทเคนไปล็อกไว้กับผู้ดูแลเครือข่าย (validator) ที่จะนำโทเคนไปใช้ดูแลระบบอีกที ผู้ที่ทำการล็อกเหรียญจะได้ค่าตอบแทนเป็นโทเคน NEAR