LTC v.s. BCH v.s. BSV

LTC v.s. BCH v.s. BSV

LTC v.s BCH v.s BSV: สามเหรียญแตกต่างกันอย่างไร?



คุณเคยสงสัยไหมว่าเหรียญ LTC, BCH และ BTC ต่างกันอย่างไร ต่างเกิดขึ้นมาเพื่ออะไร และมีที่มาที่ไปอย่างไรเนื่องจากมันเกี่ยวข้องกับเหรียญรุ่นพี่อย่าง Bitcoin เหมือนกัน?



วันนี้เราจะมาเทียบให้ดูกันอย่างชัด ๆ เพื่อคลายความสงสัยกันเลย!





Litecoin คืออะไร?



Litecoin (LTC) คือสกุลเงินดิจิทัลที่ออกแบบมาเพื่อการชำระเงินที่รวดเร็ว ปลอดภัย และมีต้นทุนต่ำ โดยใช้ประโยชน์จากคุณสมบัติที่เป็นเอกลักษณ์ของเทคโนโลยีบล็อกเชน



Litecoin หรือ LTC ถูกพัฒนามาจากบล็อกเชนของ Bitcoin ให้มีลักษณะการใช้งานใกล้เคียงกัน แตกต่างกันที่ Litecoin ถูกออกแบบให้มีความยืดหยุ่นเพื่อให้การชำระเงินที่รวดเร็ว ปลอดภัย ต้นทุนต่ำ และยังคงเป็นเป็นสกุลเงินดิจิทัลแบบบุคคลสู่บุคคล (Peer-to-Peer) บนเครือข่ายบล็อกเชนแบบกระจายศูนย์ (Decentralized) เพื่อทำธุรกรรมโดยไม่ต้องอาศัยตัวกลาง ทุกคนจึงสามารถเข้ามามีส่วนร่วมกับเครือข่ายที่โปร่งใสและปลอดภัยได้



มากกว่านั้น Litecoin คือสกุลเงินดิจิทัลที่ถูกสร้างขึ้นโดยใช้โปรโตคอลของ Bitcoin ในปี ค.ศ. 2011 โดย Charlie Lee หรือที่รู้จักในชื่อ “Chocobo” อดีตพนักงานวิศวกรซอฟต์แวร์ของ Google ซึ่งต่อมาได้เป็นผู้จัดการฝ่ายวิศวกรรมที่ Coinbase จุดประสงค์ในการสร้างของเขาคือ ให้เหรียญสกุลนี้เป็นเสมือน “เงิน” (Silver) เปรียบเทียบกับ Bitcoin ที่เป็น “ทองคำ” (Gold)



Litecoin ใช้ระบบฉันทามติแบบ Proof of Work (PoW) ที่มีรูปแบบการเข้ารหัสแบบ Scrypt เพื่อให้มีการยืนยันว่าธุรกรรมได้รับการตรวจสอบอย่างไม่มีข้อผิดพลาด และยังช่วยป้องกันการใช้จ่ายซ้ำซ้อน (Double-spending) และการโจมตีอื่น ๆ มากกว่านั้น บล็อกแต่ละบล็อกยังมีขนาดอยู่ที่ 1MB และใช้เวลาเฉลี่ยในการสร้างบล็อกที่ 2.5 นาทีเท่านั้น โดยมีจำนวนเหรียญทั้งหมดอยู่ที่ 84 ล้านเหรียญ หรือ 4 เท่าของจำนวนเหรียญทั้งหมดของ Bitcoin นั่นเอง





Bitcoin Cash คืออะไร?



Bitcoin Cash หรือ BCH คือสกุลเงินแรกที่แยกมาจาก BTC จากการ Hard Fork ในช่วงปี ค.ศ. 2017 เนื่องจากหลายฝ่ายค่อนข้างกังวลเกี่ยวกับความสามารถในการขยายขนาด (Scalability) เพื่อรองรับจำนวนธุรกรรมที่เพิ่มขึ้นของ Bitcoin 



มากกว่านั้น ยังเป็นช่วงที่ราคาของ Bitcoin สูงขึ้นเรื่อย ๆ จนทำให้มีผู้ใช้เพิ่มมากขึ้น เมื่อมีผู้ใช้ทำธุรกรรมจำนวนมากจึงก่อให้เกิดความล่าช้า ซึ่งผู้พัฒนาระบบไม่สามารถหาข้อตกลงกันได้ว่าจะเพิ่มความเร็วของเครื่อข่ายอย่างไร จึงเกิดการแยกตัวออกมา



Bitcoin Cash คือระบบเงินอิเล็กโทรนิกส์แบบบุคคล-บุคคล มีจุดประสงค์เพื่อเป็นเงินระดับโลกที่สามารถใช้ชำระเงินได้ง่าย รวดเร็ว และมีค่าธรรมเนียมถูก นอกจากการชำระเงินระหว่างบุคคลแล้ว ยังสามารถใช้เพื่อชำระให้กับร้านค้าที่เข้าร่วมได้อีกด้วย



จากการ Hard Fork ที่ทำให้เกิด Bitcoin Cash นั้นทำให้ผู้ที่ถือเหรียญ Bitcoin ณ ตอนนั้นทั้งหมดได้รับเหรียญ BCH ไปโดยอัตโนมัติ ในอัตราส่วนที่เท่ากันคือ 1:1 อีกหนึ่งความพิเศษของ BCH คือ การเพิ่มขนาดบล็อกจาก 1MB เป็น 8MB ถึง 32 MB ทำให้สามารถจัดการกับธุรกรรมพร้อมกันได้มากขึ้น ช่วยแก้ปัญหาการชำระเงินล่าช้า และค่าธรรมเนียมที่สูงของ Bitcoin





Bitcoin SV คืออะไร?



Bitcoin SV (Bitcoin Satoshi Vision) คือเหรียญที่เกิดจากการ Hard Fork จาก Bitcoin Cash (BCH) ในปี 2018 และเป็นเหรียญที่เรียกตัวเองว่าเป็น Bitcoin ดั้งเดิมที่ทำตามวิสัยทัศน์ของ Satoshi Nakamoto



ผู้ก่อตั้งเหรียญ Bitcoin SV คือ Craig Wright ผู้ประกอบการชาวออสเตรเลีย และผู้ก่อตั้งบริษัทฟินเทค nChain ที่อ้างว่าตนคือ Satoshi Nakamoto โดยเป้าหมายหลักของการ Hard Fork เป็น BSV คือเพื่อมอบความเสถียรและความสามารถในการขยายเครือข่าย ซึ่งเป็นสิ่งที่บล็อกเชน BTC ดั้งเดิมพยายามทำให้สำเร็จ เว็บไซต์ของโครงการกล่าวว่า: “Bitcoin SV มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ทางเลือกที่ชัดเจนสำหรับนักขุด และอนุญาตให้ธุรกิจสามารถสร้างแอปพลิเคชั่นและเว็บไซต์บนเครือข่ายได้อย่างน่าเชื่อถือ”



Bitcoin SV มีความโดดเด่นที่ขนาดของบล็อก ซึ่งมีขนาดใหญ่กว่ารุ่นก่อนมาก คือ 128MB - 2GB และยังใช้กลไลพิสูจน์การทำงานที่เป็นเอกฉันท์ โดยก่อนที่บล็อกจะถูกเพิ่มไปยังเชน ผู้ขุดจะต้องแก้โจทย์คณิตศาสตร์ที่ซับซ้อนโดยใช้พลังงานการประมวลผล และนักขุดที่สามารถแก้โจทย์สำเร็จคนแรกจะได้รับรางวัลตอบแทนการช่วยทำงาน นักขุดที่ทำสิ่งนี้ก่อนจะได้รับรางวัล โครงสร้างพื้นฐานนี้ช่วยป้องกันการโจมตีอย่าง 51% Attack ที่เป็นอันตรายได้





ความแตกต่างระหว่าง LTC, BCH และ BSV

เห็นได้ว่าทั้ง 3 เหรียญนี้มีเป้าหมายที่คล้ายกัน คือการพัฒนาที่ดียิ่งขึ้น ต่อยอดจาก Bitcoin เนื่องจากระบบมีขนาดความจุของบล็อกที่เพียง 1 MB ทำให้เมื่อมีผู้ใช้จำนวนมาก เครือข่ายจะเกิดความล่าช้าในการทำธุรกรรม เพราะจำนวนธุรกรรมที่สามารถรองรับได้พร้อม ๆ มีค่อนข้างจำกัด



ด้วยเหตุผลนี้ เหรียญไลท์คอยน์ (LTC) จึงถือกำเนิดขึ้นมา ซึ่งมีความยืดหยุ่นกว่าในด้านการใช้งาน สามารถรองรับปริมาณธุรกรรมได้สูงกว่า BTC ถึง 4 เท่า ทำให้ Litecoin มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ซึ่งหากมองในภาพรวม LTC อาจมีลักษณะที่คล้ายกับ BTC เพียงแต่ว่ามูลค่าของทั้งสองไม่เท่ากันนั่นเอง



ต่อมา เนื่องจากความขัดแย้งในชุมชน Bitcoin ยังคงมีอยู่เรื่อย ๆ จึงทำให้เกิดการ Hard Fork ขึ้นจนเกิดเหรียญ Bitcoin Cash ขึ้นมาเป็นสกุลแรก ซึ่งมีขนาดของบล็อกที่ใหญ่กว่า BTC เป็น 8MB - 32MB เพื่อรองรับการทำธุรกรรมและเพิ่มความเร็ว แต่ก็มีคนกลุ่มหนึ่งที่ไม่พอใจกับการเพิ่มขนาดของบล็อกสูงสุดแค่ 32MB จึงเกิดการ Hard Fork จากเหรียญ BCH อีกที และเกิดเหรียญ Bitcoin SV หรือ BSV นั่นเอง



โดยผู้สร้าง BSV อ้างว่าเป็นเหรียญที่คงคุณสมบัติดั้งเดิมของ BTC เอาไว้ และเพิ่มขนาดของบล็อกเริ่มต้นเป็น 128MB และเพิ่มได้สูงสุดถึง 2 GB ซึ่งถือว่ามีขนาดใหญ่กว่าบล็อกของ BTC และ BCH อย่างมาก โดยขนาดบล็อกของ BSV สามารถปรับเปลี่ยนได้ตามความเห็นชอบของเครื่อข่าย



ทั้งนี้ เหรียญที่ Hard Fork ออกมาจาก Bitcoin มักมีสาเหตุมาจากความต้องการพัฒนาระบบใหม่ เพื่อแก้ปัญหาที่ระบบเดิมพบเจอ ส่งผลให้เกิดเป็นเครือข่ายบล็อกเชนใหม่ที่ตอบโจทย์การใช้งานมากยิ่งขึ้น





สรุป



หลักการทำงานของเหรียญแต่ละเหรียญมีข้อดี ข้อจำกัดที่แตกต่างกัน ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับการที่นักลงทุนและนักพัฒนาจะนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด อย่างไรก็ตาม เหรียญ Litecoin Bitcoin Cash รวมถึง Bitcoin SV ก็ถือว่ามีความน่าเชื่อถือ ได้รับความนิยม จึงมีสภาพคล่องที่สูง



การลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลดิจิทัลมีความเสี่ยงสูง นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลต่าง ๆ ให้ดี ก่อนการตัดสินใจลงทุนทุกครั้ง เพื่อลดความเสี่ยงและเพิ่มประสิทธิภาพในการลงทุน





อ้างอิง:



BitkubCoinmarketcap, Blockdit, Marketingoops, Siamblockchain, Supercryptonews

Blockchain

บทความล่าสุด

โทเคนดิจิทัล| Price Today!

อัพเดทตลาด