PoA v.s. PoS

PoA v.s. PoS

ระบบ Proof of Stake และ Proof of Authority มีอะไรพิเศษ และแตกต่างกันอย่างไร!

ฉันทามติ (Consensus) คือกระบวนการตรวจสอบความถูกต้องในบล็อกเชน ซึ่งมีหลากหลายรูปแบบ และฉันทามติที่นักพัฒนานิยมนำไปใช้แทนฉันทามติแบบ Proof-of-Work (PoW) ที่มีการใช้พลังงานไฟฟ้าสูง และตรวจสอบธุรกรรมได้ช้า ก็คือฉันทามติแบบ Proof-of-Stake (PoS) และฉันทามติที่มีลักษณะคล้ายกันอย่าง Proof-of-Authority (PoA) เรามาดูกันว่าฉันทามติทั้งสองนี้มีการทำงานอย่างไร และต่างกันอย่างไร



Proof-of-Stake คืออะไร? 

ฉันทามติแบบ Proof-of-Stake (PoS) ถูกคิดค้นโดย Sunny King และ Scott Nadal ในปี ค.ศ. 2012 โดยตั้งใจที่จะแก้ปัญหาการใช้พลังงานไฟฟ้าในของการขุด Bitcoin ที่ใช้ฉันทามติแบบ Proof-of-Work 



ฉันทามติแบบ Proof-of-Stake คือการตรวจสอบธุรกรรมโดยมีผู้ตรวจสอบ (Validator) เป็นผู้ดำเนินการ ซึ่งการที่จะเป็นผู้ตรวจสอบได้นั้นจำเป็นต้องมีการล็อคเหรียญ (Staking) ไว้ในระบบเพื่อค้ำประกัน การตรวจสอบหากมีการทุจริตหรือการโกงเกิดขึ้น ผู้ตรวจสอบรายนั้นก็จะเสียเหรียญที่ล็อคไว้ทั้งหมด 



สำหรับการเลือกผู้ตรวจสอบนั้น ระบบจะทำการสุ่มโดยดูจากปริมาณเหรียญที่ล็อคไว้ ยิ่งผู้ร่วมตรวจสอบมีเหรียญล็อคไว้มากเท่าไหร่ ก็จะยิ่งมีโอกาสมากขึ้นเท่านั้น อย่างไรก็ตาม Proof-of-Stake ยังมีกลไกที่ทำให้เกิดความสมดุลไม่ให้สุ่มผู้ตรวจสอบซ้ำกันหลายครั้งเกินไปด้วย



Proof-of-Stake คือระบบที่ถูกออกแบบมาเพื่อแก้ปัญหาการใช้พลังงานไฟฟ้าที่มหาศาลในฉันทามติแบบ Proof-of-Work (PoW) อย่างที่ทราบกันไปแล้วว่า Proof-of-Stake นั้นจะใช้ผู้ตรวจสอบในการตรวจสอบธุรกรรม ไม่ใช่การขุด (Mining) ด้วยกำลังไฟฟ้าเพื่อแก้สมการเหมือน Proof-of-Work



นอกจากนี้ Proof-of-Stake ยังสามารถช่วยป้องกันการโจมตี 51% (51% Attack) ได้ เนื่องจากผู้ตรวจสอบต้องล็อคเหรียญเป็นสัดส่วนให้ได้มากกว่า 51% ของทั้งเครือข่าย ซึ่งการเป็นเจ้าของเหรียญได้ถึง 51% นั้นนอกจากจะเป็นเรื่องที่ยากแล้ว หากทำการโจมตี 51% ขึ้นมาจริง ผู้โจมตีที่ถือเหรียญสูงถึง 51% ก็จะได้รับผลกระทบจากมูลค่าเหรียญที่ร่วงลงอย่างมาก จึงอาจไม่คุ้มค่าที่จะทำ    





Proof of Authority คืออะไร?



ฉันทามติแบบ Proof-of-Authority คือระบบที่ถูกคิดค้นขึ้นในปี ค.ศ. 2017 โดย Gavin Wood ผู้ร่วมก่อตั้ง Ethereum และผู้ก่อตั้ง Polkadot เพื่อต่อต้านการโจมตีแบบสแปมบนเครือข่ายทดสอบ Ropsten (Ropsten Testnet) ซึ่งเป็นเครือข่ายบล็อกเชนทดสอบของ Ethereum



ฉันทามติแบบ Proof-of-Authority คือการตรวจสอบธุรกรรมโดยมีผู้ตรวจสอบ (Validator) เช่นกัน แต่ผู้ตรวจสอบจะต้องใช้ชื่อเสียงและความน่าเชื่อถือของตนเองเป็นตัวค้ำประกันว่าจะตรวจสอบอย่างโปร่งใสและถูกต้อง โดยผู้ตรวจสอบในฉันทามติแบบ Proof-of-Authority ต้องเปิดเผยตัวต่อสาธารณะเพื่อให้ทุกคนสามารถตรวจสอบความโปร่งใสได้ ซึ่งการจะเพิ่มหรือถอดถอนผู้ตรวจสอบจะต้องได้รับความเห็นชอบจากเหล่าผู้ตรวจสอบคนอื่น ๆ ด้วย





Proof of Stake และ Proof of Authority แตกต่างกันอย่างไร?



ฉันทามติแบบ Proof-of-Stake และ Proof-of-Authority มีลักษณะคล้ายกันมาก แต่ต่างกันตรงวิธีการเลือกผู้ตรวจสอบและการค้ำประกันเพื่อความโปร่งใส โดยในฉันทามติแบบ Proof of Stake ผู้ที่จะร่วมตรวจสอบต้องล็อคเหรียญไว้ในเครือข่าย และระบบจะสุ่มโดยดูจากปริมาณเหรียญที่ล็อคไว้ แต่ใน Proof-of-Authority จะไม่มีการล็อคเหรียญแต่อย่างใด แต่จะเป็นการใช้ความเชื่อใจจากชื่อเสียงและความน่าเชื่อถือของผู้ตรวจสอบ





สรุป



ฉันทามติแบบ Proof-of-Stake สามารถช่วยลดปริมาณการใช้พลังงานไฟฟ้าลงได้อย่างมาก โดยใช้วิธีการล็อคเหรียญไว้เพื่อเป็นตัวค้ำประกันในการร่วมตรวจสอบธุรกรรม และยังมีความสามารถในการป้องกันการโจมตี 51% ได้อย่างดี เนื่องจากผู้ที่จะทำการโจมตีก็อาจเสียหายจากผลที่ตัวเองกระทำได้ เมื่อราคาเหรียญที่โจมตีนั้นลดลง และมีโอกาสสูญเสียเหรียญที่นำไปล็อคไว้ทั้งหมด



ฉันทามติแบบ Proof-of-Authority นั้นหากดูลักษณะการทำงานแล้ว เหมือนจะเป็นการรวมศูนย์อำนาจซึ่งต่างจากฉันทามติแบบอื่นที่เกิดมาเพื่อกระจายอำนาจ แต่ก็มีข้อดีเช่นกัน คือความรวดเร็วในการตรวจสอบธุรกรรมและความโปร่งใส่ เนื่องจาก Proof-of-Authority มีการเลือกผู้ตรวจสอบเอง ดังนั้นจำนวนเครือข่าย (Node) ที่ตรวจสอบจะน้อย ส่งผลให้การตรวจสอบมีความรวดเร็ว และทุกคนในเครือข่ายรู้ว่าใครที่เป็นผู้ตรวจสอบ





อ้างอิง:



Finnomena Binance Academy investopedia cointelegraph

Blockchain

บทความล่าสุด

โทเคนดิจิทัล| Price Today!

อัพเดทตลาด